โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง: ภาวะที่ต้องระวังและรู้เท่าทัน

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงคืออะไร?

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ Muscular Dystrophy (MD) เป็นกลุ่มของโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้กล้ามเนื้อเสื่อมและอ่อนแรงอย่างช้าๆ จนกระทบต่อการเคลื่อนไหวและการทำงานของร่างกาย ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมักพบว่ามีกล้ามเนื้ออ่อนแอลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในส่วนของแขน ขา และลำตัว และหากไม่ได้รับการรักษาหรือฟื้นฟูอย่างเหมาะสม อาจส่งผลให้เกิดความพิการในการเคลื่อนไหว และในบางกรณีอาจถึงขั้นเสียชีวิต

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นโรคที่สามารถส่งผลต่อทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ และในแต่ละประเภทของโรคนี้จะมีลักษณะอาการและความรุนแรงที่แตกต่างกันไป

ประเภทของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงแบ่งออกเป็นหลายประเภทขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดความผิดปกติในกล้ามเนื้อ ซึ่งประเภทหลักๆ ของโรคนี้ประกอบด้วย:

  1. Duchenne Muscular Dystrophy (DMD): เป็นประเภทที่พบบ่อยที่สุดในเด็กชาย มักแสดงอาการตั้งแต่อายุ 2-5 ปี ผู้ป่วยจะมีกล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างรวดเร็ว และส่วนมากมักไม่สามารถเดินได้เมื่ออายุประมาณ 12 ปี
  2. Becker Muscular Dystrophy (BMD): เป็นประเภทที่คล้ายกับ DMD แต่มีอาการที่อ่อนกว่าและเกิดช้ากว่า ส่วนมากแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว
  3. Myotonic Muscular Dystrophy: โรคนี้สามารถเกิดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ อาการหลักคือกล้ามเนื้อไม่สามารถผ่อนคลายได้หลังจากการหดตัว และผู้ป่วยอาจมีปัญหาด้านการหายใจและการทำงานของหัวใจ
  4. Facioscapulohumeral Muscular Dystrophy (FSHD): อาการเกิดขึ้นบริเวณกล้ามเนื้อใบหน้า ไหล่ และแขน ผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการในช่วงวัยรุ่น และอาการจะค่อย ๆ แย่ลงเมื่ออายุมากขึ้น

สาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเกิดจากความผิดปกติของยีนที่มีบทบาทในการสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ โปรตีนนี้มีหน้าที่ในการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ หากยีนนี้เกิดความผิดปกติ จะทำให้การสร้างโปรตีนที่จำเป็นผิดปกติไป และส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและเสื่อมสภาพเรื่อยๆ

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นโรคทางพันธุกรรม ซึ่งหมายความว่าผู้ป่วยได้รับการถ่ายทอดยีนที่ผิดปกติมาจากพ่อแม่ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่พบได้น้อย การกลายพันธุ์ของยีนอาจเกิดขึ้นเองโดยไม่มีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคนี้

อาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

อาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจะแตกต่างกันไปตามประเภทของโรค แต่โดยทั่วไป อาการที่พบบ่อย ได้แก่:

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในแขน ขา และลำตัว
  • การเคลื่อนไหวที่ลำบาก เช่น เดิน ลุกขึ้นยืน หรือปีนบันได
  • กล้ามเนื้อเกร็งและตึงเครียด ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวช้าลง
  • การหายใจที่ลำบากเนื่องจากกล้ามเนื้อหายใจเริ่มอ่อนแรง
  • ปัญหาการกลืนอาหาร เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณลำคอได้รับผลกระทบ
  • รูปทรงร่างกายเปลี่ยนไป เช่น กล้ามเนื้อลีบและสูญเสียกล้ามเนื้อในบางบริเวณ

นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงบางประเภทอาจมีปัญหาด้านการทำงานของหัวใจและปอด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้บางรายเสียชีวิตเร็วขึ้น

การวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

การวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงสามารถทำได้โดยการตรวจร่างกายและใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่ช่วยระบุความผิดปกติของกล้ามเนื้อ เช่น

  1. การตรวจเลือด: เพื่อตรวจหาค่าของเอนไซม์ที่เรียกว่า ครีเอทีนคิเนส (CK) ที่สูงขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อเสียหาย
  2. การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (Electromyography – EMG): เพื่อตรวจหาความผิดปกติของการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท
  3. การตรวจชิ้นเนื้อกล้ามเนื้อ (Muscle Biopsy): เพื่อนำชิ้นเนื้อกล้ามเนื้อมาตรวจหาความผิดปกติในเซลล์กล้ามเนื้อ
  4. การตรวจพันธุกรรม: เพื่อตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

การรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงให้หายขาด แต่สามารถใช้วิธีการรักษาที่ช่วยบรรเทาอาการและชะลอการเสื่อมของกล้ามเนื้อได้ เช่น

  1. การรักษาด้วยยา: ยาที่ใช้รักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมักเป็นยาที่ช่วยลดการอักเสบและช่วยชะลอการเสื่อมของกล้ามเนื้อ เช่น สเตียรอยด์ แต่ยากลุ่มนี้อาจมีผลข้างเคียง เช่น การเพิ่มน้ำหนักและการเกิดปัญหากระดูกพรุน
  2. กายภาพบำบัด: การทำกายภาพบำบัดช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแรง ทำให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้ดียิ่งขึ้น
  3. การผ่าตัด: ในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดเพื่อช่วยแก้ไขความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับกระดูกสันหลังหรือข้อต่อที่เกิดจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง
  4. การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ: เช่น เครื่องช่วยหายใจหรืออุปกรณ์ช่วยในการเดิน เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น

การป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นโรคทางพันธุกรรม การป้องกันโรคนี้จึงยากที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม การตรวจวินิจฉัยพันธุกรรมก่อนการมีบุตรสามารถช่วยลดโอกาสการถ่ายทอดยีนที่ผิดปกติไปยังลูกหลานได้ สำหรับผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับการตรวจวินิจฉัยพันธุกรรม

การใช้ชีวิตร่วมกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมักต้องการการดูแลที่ดีจากแพทย์และครอบครัว เนื่องจากการเสื่อมของกล้ามเนื้อสามารถทำให้เกิดปัญหาด้านการเคลื่อนไหวและการหายใจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต การปรับตัวในชีวิตประจำวันและการใช้เทคโนโลยีช่วยเหลือสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ดีขึ้นได้

นอกจากนี้ การให้ความรู้แก่ครอบครัวและชุมชนเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจะช่วยสร้างความเข้าใจและสนับสนุนผู้ป่วยในการใช้ชีวิตประจำวันให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

ล่าสุดในปี 2024 ได้มีนวตกรรมใหม่โดยใช้คลื่น Terahertz  เข้ามาช่วยบรรเทา ฟื้นฟูร่างกาย โดยการทำงานของคลื่น Terahertz คือ สามารถสั่นสะเทือนที่ความถี่เดียวกับเซลล์มนุษย์ปกติโดยสร้างการสั่นสะเทือนหลายล้านครั้งต่อวินาที เมื่อเซลล์ได้รับคลื่น Terahertz จะส่งพลังงานเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็วและกระตุ้นการทำงานในระดับเซลล์ให้กลับมาทำงานเป็นปกติ

โดยอุปกรณ์ iTeraCare  ที่จะทำการเป่าคลื่น Terahertz นั้นได้ผ่านการทดสอบและตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติและการรับรองทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิบัตร ดังนั้นสินค้าเลียนแบบอื่นๆ จะไม่สามารถใช้เทคโนโลยีเดียวกันได้ ทำให้ผลที่ได้แตกต่างกันมาก

ตัวอย่างคลิปผู้เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงแล้วใช้เครื่อง iTeraCare

ดูข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่  www.itera-care-prife.shop

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ==>> Line https://lin.ee/IRf5FMl